
5 เทรนด์ใหม่ของสถานที่ทำงานในปี 2564
ในวันนี้โลกของการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด แพนเดมิคทำให้การทำงานนอกออฟฟิศกลายมาเป็นวิถีชีวิตชั่วคราวของคนทำงาน ในขณะที่หลายคนได้หันมาเห็นประโยชน์ของการทำงานแบบยืดหยุ่นแกมบังคับในครั้งนี้
ทางเลือกคือการพร้อมเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของเราเอง
จัสโค ให้บริการออฟฟิศพร้อมใช้งานทั้งแบบส่วนตัวและโคเวิร์คกิ้งสเปซที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการเติบโตขององค์กร เพื่อตอบรับกระแสของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ โซลูชั่นด้านพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นอย่าง ฮ็อตเดสก์หรือโต๊ะทำงานแบบไม่ประจำที่ในโคเวิร์คกิ้งสเปซของจัสโคได้รับความสนใจเพิ่มสูงขึ้นจากลูกค้าแบบองค์กร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการของตลาดคอร์เปอเรตที่หันมาคำนึงถึงประโยชน์ในด้านความคุ้มค่าเงินจากโมเดล Core (สำนักงานแบบมาตรฐาน) & Flex (พื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น) ซึ่งเป็นโซลูชั่นใหม่ของการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่นอกจากจะสามารถลดต้นทุนการปฏิบัติการได้แล้ว การทำงานรูปแบบใหม่ยังมอบอิสระให้กับพนักงานในการเลือกทำงานจากที่ใดก็ได้ ยกตัวอย่างในโตเกียว ฮ็อตเดสก์ในโคเวิร์คกิ้งสเปซขนาดเล็กกำลังได้รับความนิยม เนื่องจากพนักงานไม่ต้องทำงานภายใต้การควบคุมของหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา
พนักงานจำนวนมากชอบความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้น และการทำงานแบบนี้จะเป็นไปได้หากนายจ้างเห็นถึงความสำคัญของเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยหากนำมาพิจารณาร่วมกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน เทรนด์นี้ดูมีความเป็นไปได้และเกี่ยวข้องโดยตรงกับแผนลดค่าใช้จ่ายขององค์กร ซึ่งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ซึ่งเห็นได้ชัดจากการศึกษารายละเอียดแนวโน้มสถานที่ทำงานในปี 2564 ดังนี้
1.การทำงานแบบ Work-From-Anywhere หรือจากที่ไหนก็ได้จะมีเพิ่มสูงขึ้น
จากการสำรวจของ Corenet Global Survey ร้อยละ 94 ของผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ความเห็นว่าการทำงานนอกออฟฟิศจะยังคงดำเนินต่อไปแม้สถานการณ์โรคระบาดจะหมดลง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการทำงานจะเกิดขึ้นนอกออฟฟิศมากขึ้น และไม่จำกัดเฉพาะจากที่บ้านเท่านั้น ทั้งในปีหน้าและปีถัดๆ ไป
องค์กรสามารถให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้หรือ Work-from-Anywhere บนพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นหรือ Flex ที่นอกเหนือไปจากออฟฟิศแบบแชร์ร่วมกัน เช่น SWITCH ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่มอบพื้นที่ทำงานพร้อมบริการ (space-as-a-service) ด้วยบูธทำงานสะดวกใช้ซึ่งให้บริการตามห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานสำหรับพนักงานที่ไม่ต้องการทำงานจากที่บ้านหรือไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้
2. สำนักงานแบบมาตรฐาน (Core) จะลดลง และพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น (Flex) จะเพิ่มมากขึ้น
รูปแบบการทำงานแบบ Work-from-Anywhere คือทางออกที่ลงตัวสำหรับพนักงานที่ต้องการความยืดหยุ่น และยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับขนาดองค์กรได้ตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่างๆ อย่างในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง Fujitsu มีแผนจะลดขนาดพื้นที่ทำงานลงกว่า 50% ในปี 2565
สิ่งที่จะช่วยให้เทรนด์การทำงานแบบนี้พัฒนาไปได้ก็คือการนำพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นหรือ Flex แบบต่างๆ มาอำนวยความสะดวกร่วมกับสำนักงานแบบมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศทางไกล (Satellite Offices) ห้องประชุมพร้อมใช้งาน และอีกมากมาย ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลการบริการของจัสโคในประเทศไทย อาทิ ห้องประชุม พื้นที่จัดงาน และออฟฟิศสำหรับองค์กรที่ต้องการใช้พื้นที่เพิ่มเติมสำหรับทีมในการทำงาน
การปรับขนาดขององค์กรให้เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้กระแสเงินสดเพิ่มเมื่อถึงเวลาที่ต้องการขยายสำนักงานแบบดั้งเดิม อันเนื่องมาจากทีมที่ขยายใหญ่ขึ้นและโตตามจำนวนพนักงานที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. พื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐานหรือ Core จะกลายมาเป็นพื้นที่เพื่อสร้างสัมพันธ์ในหมู่พนักงาน
สำนักใหญ่ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือสำนักงานแบบมาตรฐานหรือ Core ที่ได้รับการลดขนาด จะไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ทำงานเท่านั้น แต่จะกลายมาเป็นสถานที่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในหมู่พนักงาน สร้างเสริมประสบการณ์การทำงาน ขับเคลื่อนนวัตกรรม ผสานความร่วมมือร่วมใจ และกระชับสัมพันธ์ของคนในทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานที่มีความสุขและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุลให้พนักงานที่ทำงานนอกออฟฟิศ ให้ยังคงได้รับความยืดหยุ่นจากการทำงาน แต่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานคนอื่นๆ เมื่อต้องกลับเข้ามาทำงานด้วยกันในออฟฟิศ
4. การเว้นระยะห่างทางสังคมทำให้ต้องมีออฟฟิศที่ใหญ่ขึ้น
ถึงแม้ว่าสถานการณ์แพนเดมิคจะเริ่มคลี่คลายลง แต่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเพื่อเป็นการป้องกันการระบาด ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยหลายๆ องค์กรในประเทศไทยเองได้หันมาใช้บริการพื้นที่ทำงานในโคเวิร์คกิ้งสเปซ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงานซึ่งมีจำนวนเท่าเดิมแต่ความต้องการพื้นที่เพื่อรักษาระยะห่างมีเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ทำงานทื่ยืดหยุ่นนี้จะเป็นประโยชน์กับองค์กรที่แม้จะยังไม่ได้คำนึงถึงการลดขนาดสำนักงานแบบดั้งเดิม แต่เพียงต้องการพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับพนักงานที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้
5. เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในการจัดการพื้นที่ทำงาน
ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความเป็นอัจฉริยะทางเทคโนโลยี พื้นที่สำนักงานก็มีแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาฟังค์ชั่นการให้บริการเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น จัสโคเปิดตัวพื้นที่ทำงานอัจริยะสาขาแรกที่เดอะ เซ็นเตอร์พ้อยท์ อำนวยความสะดวกการผ่านเข้าออกประตูด้วยระบบจดจำใบหน้าที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยี SixSense ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่คิดค้นขึ้นโดย REinvent ซึ่งเป็นพร็อพเทคสตูดิโอแห่งแรกในเอเชีย สามารถตรวจจับการเข้าใช้พื้นที่ทำงานและการเว้นระยะห่างได้แบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์รายละเอียดข้อมูลในแต่ละตารางฟุตของพื้นที่ทำงานนอกจากจะช่วยให้จัสโคสามารถศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเชิงพื้นที่เพื่อนำมาปรับปรุงการดีไซน์ออฟฟิศแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถช่วยองค์กรต่างๆ ให้สามารถปรับขนาดพื้นที่สำนักงานให้เหมาะสมกับการใช้งาน SWITCH Enterprise ช่วยให้นายจ้างศึกษาการใช้งานของลูกจ้างได้ผ่านการติดตามการเลือกใช้สถานที่ทำงานตามความชอบ เวลาเข้าออก และช่วงเวลาที่ใช้งาน รวมไปถึงข้อมูลด้านอื่นๆ เพื่อการขยับขยายทีมหรือสำนักงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ทางเลือกด้านสำนักงานที่มีเพิ่มมากขึ้น และฟังก์ชั่นการใช้งานของสำนักงานแบบดั้งเดิมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงการเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยีเพื่อให้ที่ทำงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น นำไปสู่เทรนด์การทำงานของโลกอนาคต ซึ่งแท้จริงแล้วกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน วิวัฒนาการใหม่ของสถานที่ทำงานได้เกิดขึ้นแล้วอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการและความจำเป็นของพนักงานนั่นเอง การปรับเปลี่ยนที่ตัวเราหรือธุรกิจคือแนวทางเดียวที่จะทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้
ทดลองใช้บริการพื้นที่ทำงานของจัสโคด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้ คลิกเพื่อขอทดลองใช้บริการฟรี